วัชกู ดา กามา



         วัชกู ดา กามา (โปรตุเกส: Vasco da Gama; ประมาณ พ.ศ. 2003-2068) หรือ วาสโก ดา กามา ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ เป็นนักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองซีนิช แคว้นอาเลงเตชู ประเทศโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียหว่างปี พ.ศ. 2040-42 โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2031
วัชกู ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก
ต่อมา อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วัชกู ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย แต่ต่อมาไม่นาน วัชกู ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
วัชกู ดา กามา มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)
ในขณะที่โคลัมบัสและคอบอตยังคงทำความพยายามที่จะมาถึงภาคตะวันออกให้ได้ด้วยการแล่นเรือตรงไป ทางตะวันตกอย่างเดียวนั้น กองเรือของปอร์ตุเกสในการนำของวาสโกดากามาก็ออกสำรวจเลียบฝั่งอาฟริกามุ่งลงทางทิศใต้ เมื่อ ค.ศ. 1497 เป็นเวลา 96 วัน กองเรือของเขาจึงมาถึงแหลมกูดโฮปของอาฟริกา ที่นั่งมีพายุพัดต้านทางเดินเรืออย่างแรง แต่วาสโกดากามาก็หาหนทางแล่นเรืออ้อมปลายแหลมนั้น ด้วยวิธีแล่นเป็นฟันปลาจนสามารถนำเรือไปสู่มหาสมุทรอินเดียที่มีคลื่นลมสงบได้ แต่เนื่องจากลูกเรือและเรืออยู่ในสภาพบอบช้ำ เสบียงอาหารก็มีน้อยลงเขาจึงแล่นเรืออ้อมขึ้นมาทางเหนือ แวะที่เมืองท่ามิลินดา ชั่วระยะหนึ่งแล้วจึงไปถึง เมืองโมแซมบิค ที่เมืองโมแซมบิค ได้ถูกกองเรือของสุลต่านแห่งพวกอาหรับยกมาโจมตี แต่ปืนเรือของวาสโกดากามาทำความตกใจให้แก่ข้าศึกจนล่าถอยไป เมื่อออกมาจากเมือง ก็แล่นเรือไปทางตะวันออกเป็นเวลา 10 เดือน 14 วันก็ถึงเมืองท่ากาลิกัต ของอินเดียเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1408 ได้หนทางกว่า 10,000 ไมล์ เป็นการเดินเรือที่ยาวที่สุดในสมัยนั้น หลังจากซื้อสินค้าต่าง ๆ จำพวกเครื่องเทศ ไหม และทองกับเงินได้เพียงพอแล้ว กองเรือของวาสโกดากามาก็กลับถึงลิสบอนนครหลวงของปอร์ตุเกสโดยปลอดภัย วาสโกดากามาจึงได้รับเกียรติเป็นบุคคลแรดที่พบความสำเร็จในการเดินเรือมาสู่อินเดีย
วาสโก ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก
รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก                               
     ต่อมาอีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วาสโก ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดียแต่ต่อมาไม่นาน วาสโก ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
ยูนิคอร์นม้ามังกรเขาเดียว เป็นสัตว์ใหญ่โตป่าเถื่อนที่สุด  เรือสำเภาสามลำเรียงกัน  มันเอาเขาชนทีเดียวเรือทะลุหมด

กะลาสีเห็นสัตว์ผีทะเลตัวนี้ก็ตกใจขวัญหนีดีฝ่อ  เห็นทะเลเป็นทุ่งหญ้าก็กระโจนลงไปหมายเอาตัวรอด...

กลางมหาสมุทรยังมีสะดือทะเล  เป็นวังวนดูดเรือแพจมไปหมด  ถ้าไม่ใช่สะดือทะเล  ก็เป็นกระทะใหญ่  น้ำร้อนเดือดพล่านและบนฟ้าก็มีไฟแลบลงมาเผาเรือแพเป็นจุลไปเหมือนกัน

เรื่องอันน่ากลัวนี้  วัสโกดากามาได้ยินคนบอกกล่าวมาแล้ว  แต่วันหนึ่งเป็นวันที่ ๙ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๔๙๗ วัสโกดากามาพร้อมด้วยเรือสำเภา ๔ ลำ กะลาสี ๑๑๘ คนก็เตรียมพร้อมที่จะออกจากประเทศปอร์ตุเกส  เพื่อหาทางเดินเรือไปประเทศอินเดีย

นายเรือผู้ใหญ่ยิ่งเต็มไปด้วยหนวดเคราผู้นี้ เวลานั้นยังอยู่ในวัยฉกรรจ์อายุได้สามสิบปีพอดี ๆ   รู้จักภัยอันตรายในมหาสมุทรเป็นอย่างดี   รู้ว่าภัยอันเกิดจากธรรมชาตินั้นอาจร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องในนิยายปรัมปรานั้นอีก

เมื่อวัสโกดากามา ยก กองทัพเรือ  ของเขาแล่นไปตามฝั่งอัฟริกาตะวันตก  ตรงไปทางทิศใต้นั้น  เขารู้ว่าอันตรายที่แท้จริงของชีวิตกำลังรอเขาอยู่ที่แหลมกูดโฮป  วาสโกดากามาแปลกใจว่าทำไมเขาจึงตั้งชื่อนี้ให้แก่แหลมที่อยู่สุดอัฟริกาใต้

สองสามอาทิตย์ก่อนที่ดากามาจะออกเดินทางนั้น   พระเจ้ามานูแอล  กษัตริย์แห่งปอร์ตุเกสมีพระราชบัญชาให้ดากามาหาทางเดินเรือไปประเทศอินเดีย  คนทั้งสองได้พูดจากันถึงการอ้อมแหลมอัฟริกาใต้ว่ามีอันตรายมาก  ไม่เคยมีเรือลำใดรอดไปได้  ดากามาได้เรียกชื่อแหลมตรงนั้นว่าแหลมพายุ  พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฟังดังนั้นก็ไม่พอพระทัย  รับสั่งอย่างเย็นชาว่า  ฉันไม่อยากฟังชื่อเช่นนี้,  อย่าพูดอีกเลย  เราต้องปลุกใจกะลาสีให้กล้าหาญ  ให้มีความหวัง  ตั้งแต่นี้ต่อไปถ้าจะพูดกันถึงที่ตรงนี้ก็ให้เรียกว่าแหลมกูดโฮป

วัสโกดามากาก็คุกเข่าลงขอพระราชทานอภัยโทษ  แล้วกราบบังคมทูลว่า  ข้าพเจ้าจะอ้อมแหลม สมหวัง” (กูดโฮป) ไปจนถึงประเทศอินเดียหรือยอมตาย

ดากามาได้ออกเดินทางด้วยใจร้อนรน  จะไปให้ถึงทิศใต้สุดของทวีปอัฟริกาให้เร็วที่สุด  การเดินทางตั้งต้นจากแหลมแวร์แดไอแลนด์   แต่แทนที่จะเรียบฝั่งก็ตัดทางตรงไป  ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคมถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ไม่ได้เห็นฝั่งเลย  การอยู่กลางมหาสมุทรเช่นนี้ นานวันโรคขาดวิตามินก็เข้ามารุกราน  ทำให้กะลาสีเจ็บป่วยเป็นโรคมือเท้าบวม  เหงือกบวม  จนกะลาสีโดยมากกินไม่ได้  เดินไม่ได้   และคนที่ป่วยก็ล้มตายกันไปหลายคน  แต่คนที่ยังไม่ตายก็เดินทางต่อไปด้วยน้ำใจอดทน

เมื่อไปถึงน่านน้ำของแหลมปลายสุดอัฟริกาใต้นั้น  ท้องฟ้าเป็นสีดำมืด  และทันใดภูเขาคลื่นก็กลิ้งเข้าทุ่มเรือและประดังเข้ามาซ้อน ๆ กัน  จนเรือไม่สามารถจะกระโจนคลื่นได้  ภูเขาคลื่นซัดใบเรือปลิวไปหมด  กะลาสียืนไม่ติด  ต้องเอาเชือกล่ามตัวตัวกับหลัก  แต่หลักก็ปลิวไปด้วย

ดากามาผู้เป็นนายเรือก็เสียทาง  บังคับเรือไม่ได้  แต่ก็ยังมีจิตใจไม่ลืมคำสัญญาที่ว่าไว้  ชนะหรือตาย  เมื่อต้นหนและลูกเรือขอร้องให้กลับบ้าน  ดากามาก็ร้องว่า  ทะเลมันอิจฉาเรา  ชื่อเสียงคอยเราอยู่ข้างหน้า  มันกลัวเราจะไปถึง  เราต้องไปให้ได้ 

ถึงลมพายุจะพัดให้เรือถอยหลัง  กองทัพเรือ  ของดากามาก็พยายามตั้งหัวตรงทิศทางอยู่เรื่อยไป  ทะเลก็ทุ่มเรือแล้วทุ่มอีกจนลูกประสักหลุด  เรือรั่ว  เสบียงอาหารร่อยหรอ  วันแล้วคืนเล่าท้องฟ้ายังคงดำมืด  พายุพัดดังอื้ออึง  แสดงอาการว่ามันมีชัยแล้ว
วัสโกดากามาเอาชีวิตของตัวเป็นเดิมพัน  และขณะที่กล่าวนี้เขาก็ยังไม่ตาย  เขาจะต้องต่อสู้กับมันอีก  เขาตั้งหัวเรือให้เที่ยงตรงอยู่เสมอ  และพายุก็ไม่ผ่อนแรงเลย  มันพัดมาสุดกำลังเรื่อยไป  ทำให้เรือกระท้านอยู่ตลอดเวลา  ขณะนั้นรัศมีของดวงอาทิตย์พุ่งรอดเมฆดำลงมาช่องหนึ่ง  แล้วพายุก็บรรเทา  ทะเลค่อย ๆ ลดความดุเดือด  ภายในไม่ช้า  แหลมพายุ  ก็กลายเป็นแหลม  สมหวัง   กูดโฮปอย่างแท้จริง
ดากามาและกะลาสีของเขามีชัยชนะเหมือนอัศจรรย์  ขณะนี้เขาแล่นอยู่ในน่านน้ำซึ่งไม่เคยมีเรือยุโรปได้ผ่านมาเลย  เขาแล่นต่อไป  ตรงไปยังประเทศอินเดีย  ได้ผ่านเกาะโมซัมบิก,  มอมบาซา,  มาลินดี  ไปถึงกัลกัตตาประเทศอินเดียวันที่  ๒๐  พฤษภาคม  ค.ศ. ๑๔๙๘ 
วันนั้นจึงเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ คือ วันแรกที่ตะวันออกกับตะวันตกมาพบกันทางทะเล  สายการเดินสินค้าทางเรือก็เปิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา   ที่ประเทศอินเดีย วัสโกดากามาไม่ได้รับการต้อนรับอันดี   ผู้ปกครองเมืองกัลกัตตาบอกแก่วัสโกดากามาว่า  ท่านมาที่นี่ทำไม?  จงไปนรกเถิด
แต่วัสโกดากามาก็ไม่ยอมให้เวลาที่ยังอยู่เสียไปเหมือนที่ได้เสียไปแล้วเป็นอันมากนั้นอีก  เขาซื้อสินค้าต่าง ๆ ลงบรรทุกเรือ  เป็นต้น  เครื่องประดับเพชรพลอย  เครื่องเทศ  เครื่องยา...
และแล่นเรือกลับไปถึงกรุงลิสบอนวันที่ ๑๘ กันยายน ค.ศ. ๑๔๙๙   วัสโกดากามาผู้ไปหาความตายหรือไปหาชื่อเสียง  เมื่อเขาไม่ตาย เขาก็ได้ชื่อเสียง  และได้ชื่อเสียงอย่างมากมาย  ชื่อเสียงของเขาราคาแพงมาก กล่าวคือ  คนที่ไปกับเขาเป็นเวลาสองปีนั้น  ขากลับมาเหลือจำนวนครึ่งเดียว  อีกครึ่งหนึ่งได้แต่ชื่อ  ชีวิตหาไม่